beerboforever

ระบบร่างกายมนุษย์

ระบบร่างกายมนุษย์
โครงสร้างการทำงานของร่างกายมนุษย์
ในการศึกษาทางจิตวิทยา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ซึ่งการที่มนุษย์จะแสดงพฤติกรรมใด ๆ ออกมานั้นเป็นเพราะระบบการทำงานของร่างกาย ไม่ว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้ามาเป็นระยะเวลายาวนานต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่าร่างกายมนุษย์ สัตว์ หรือพืชทั้งหลายจะมีโครงสร้างที่ประกอบขึ้นจากหน่วยที่เล็กที่สุดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจนกระทั่งถึงส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุด แต่ละส่วนจะมีการทำงานที่สัมพันธ์กัน โดยไม่มีส่วนใดที่สามารถทำงานอย่างอิสระยกเว้นเม็ดเลือด โดยประมาณได้ว่า 75 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายผู้ใหญ่ประกอบด้วยน้ำ ส่วนที่เหลือเป็นสารประกอบทางเคมี สารประกอบเหล่านี้รวมตัวกันเป็นเซลล์ หลายร้อยชนิด ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของร่างกาย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนพื้นโลก โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ 80 – 100 ล้านล้านเซลล์แต่ละชุดจะถูกกำหนดให้มีการเจริญเติบโตและทำหน้าที่เฉพาะ โดยเซลล์ชนิดเดียวกันจะรวมตัวเป็นเนื้อเยื่อ (tissues) เนื้อเยื่อหลาย ๆ ประเภทเมื่อมาทำงานร่วมกัน เรียกว่าอวัยวะ (organ) แต่ละอวัยวะเมื่อทำงานร่วมกันเรียกว่าระบบ (system) อาจแสดงโดยแผนผังต่อไปนี้
ดังนั้น เมื่อเซลล์มารวมกลุ่มเป็นเนื้อเยื่อพิเศษ เช่น กล้ามเนื้อ เส้นประสาท กระดูก ฯลฯ เนื้อเยื่อเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเป็นอวัยวะและในที่สุดอวัยวะเหล่านี้จะถูกจัดสรรเป็นระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ระบบต่อมต่าง ๆ และระบบประสาท เป็นต้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการทำงานที่สัมพันธ์กันเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติ การทำงานของระบบภายในร่างกาย อาจจำแนกออกได้เป็น 10 ระบบ ดังนี้

1. ระบบผิวหนัง (Intergumentary System) ทำหน้าที่ห่อหุ้มปกคลุมร่างกาย ประกอบด้วยผิวหนัง (Skin) และอวัยวะที่เปลี่ยนแปลงมาจากผิวหนัง เช่น ขน ผม เล็บ ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน
2. ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) ทำหน้าที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว
3. ระบบโครงกระดูก (Skeletal System) ทำหน้าที่ทำงานร่วมกับระบบกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นโครงร่างของร่างกายอีกด้วย
4. ระบบหมุนเวียนโลหิต (Circulatory System) ทำหน้าที่นำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียจากเซลล์มาขับทิ้ง นอกจากนี้ ยังนำฮอร์โมนที่ผลิตได้จากต่อมไร้ท่อเพื่อส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
5. ระบบหายใจ (Respiratory System) ทำหน้าที่รับออกซิเจนจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์จากภายในออกมาขับทิ้งสู่ภายนอกร่างกาย โดยอาศัยระบบไหลเวียนโลหิตเป็นตัวกลางในการลำเลียงแก๊ส
6. ระบบประสาท (Nervous System) เป็นระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของทุกระบบในร่างกาย ให้สัมพันธ์กันโดยทำงานร่วมกับระบบต่อมไร้ท่อนอกจากนี้ยังทำหน้าที่รับและตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก
7. ระบบต่อมต่าง ๆ (glands System) ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน (hormone) ซึ่งเป็นสารเคมีและของเหลวโดยทำงานร่วมกับระบบประสาทในการควบคุมปฏิกริยาการเผาผลาญต่าง ๆ ในร่างกาย
8. ระบบย่อยอาหาร (Digestive System) ทำหน้าที่ย่อยสลายอาหารที่รับประทานเข้าไปให้เป็นสารอาหาร และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

9. ระบบขับถ่าย (Excretory System) ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการให้ออกจากร่างกาย
10. ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System) ทำหน้าที่สืบทอด ดำรงและขยายเผ่าพันธุ์ ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์

ระบบผิวหนัง

ทำหน้าที่ห่อหุ้มปกคลุมร่างกาย ประกอบด้วยผิวหนัง (Skin) และอวัยวะที่เปลี่ยนแปลงมาจากผิวหนัง เช่น ขน ผม เล็บ ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำมัน

ระบบกล้ามเนื้อ

ทำหน้าที่ช่วยทำให้ร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว

ระบบโครงกระดูก

ทำหน้าที่ทำงานร่วมกับระบบกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวได้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นโครงร่างของร่างกายอีกด้วย

ระบบไหลเวียนโลหิต

ทำหน้าที่นำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียจากเซลล์มาขับทิ้ง นอกจากนี้ ยังนำฮอร์โมนที่ผลิตได้จากต่อมไร้ท่อเพื่อส่งไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
ระบบหายใจ

ระบบหายใจ คือ ระบบที่ร่างกายแลกเปลี่ยนแก๊ส โดยร่างกายจะรับแก๊สออกซิเจนที่อยู่ภายนอกเข้าสู่ร่างกาย และขับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย อวัยวะที่สำคัญในระบบนี้ได้แก่ จมูก หลอดลม ปอด กล้ามเนื้อกระบังลมและกระดูกซี่โครง

ระบบประสาท

• ระบบประสาท ระบบประสาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system หรือ CNS) ประกอบด้วยสมองและไขสันหลังและระบบประสาทส่วนปลาย หรือระบบประสาทรอบนอก ( peripheral nervous system หรือ PNS) ประกอบด้วยเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) และเส้นประสาทไขสันหลัง (spinal nerve) และระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system หรือ ANS) ระบบประสาทรอบนอกหรือระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทรอบนอกประกอบด้วยหน่วยรับความรู้สึกทั้งหมด เส้นประสาทที่ติดต่อระหว่างหน่วย รับความรู้สึกกับระบบประสาทส่วนกลาง และเส้นประสาทที่เชื่อมโยงระหว่างระบบประสาทส่วนกลางกับหน่วยปฏิบัติงาน

ระบบต่อมต่างๆ

ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน (hormone) ซึ่งเป็นสารเคมีและของเหลวโดยทำงานร่วมกับระบบประสาทในการควบคุมปฏิกริยาการเผาผลาญต่าง ๆ ในร่างกาย

ระบบย่อยอาหาร

ทำหน้าที่ย่อยสลายอาหารที่รับประทานเข้าไปให้เป็นสารอาหาร และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

ระบบขับถ่าย


การขับถ่ายเป็นระบบกำจัดของเสียจากร่างกาย และช่วยควบคุมปริมาณของน้ำในร่างกายให้สมบูรณ์ประกอยด้วย ไต ตับ และลำไส้ เป็นต้น

ระบบสืบพันธุ์

ระบบสืบพันธุ์เพศชาย

อวัยวะที่สำคัญในระบบสืบพันธุ์เพศชาย ประกอบด้วย

1. อัณฑะ (Testis) เป็นต่อมรูปไข่ มี 2 อัน ทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ (Sperm) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย และสร้างฮอร์โมนเพศชายเพื่อควบคุมลักษณะต่างๆของเพศชาย เช่น การมีหนวดเครา เสียงห้าว เป็นต้น ภายในอัณฑะจะประกอบด้วย หลอดสร้างตัวอสุจิ (Seminiferous Tubule) มีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆ ขดไปขดมาอยู่ภายใน ทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ หลอดสร้างตัวอสุจิมีข้างละประมาณ 800 หลอด แต่ละหลอดมีขนาดเท่าเส้นด้ายขนาดหยาบ และยาวทั้งหมดประมาณ 800 เมตร
2. ถุงหุ้มอัณฑะ (Scrotum) ทำหน้าที่ห่อหุ้มลูกอัณฑะ ควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะในการสร้างตัวอสุจิ ซึ่งตัวอสุจิจะเจริญได้ดีในอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส
3. หลอดเก็บตัวอสุจิ (Epididymis) อยู่ด้านบนของอัณฑะ มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆ ยาวประมาณ 6 เมตร ขดทบไปมา ทำหน้าที่ี่เก็บตัวอสุจิจนตัวอสุจิเติบโตและแข็งแรงพร้อมที่จะปฏิสนธิ
4. หลอดนำตัวอสุจิ (Vas Deferens) อยู่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำหน้าที่ลำเลียงตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ
5. ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (Seminal Vesicle) ทำหน้าที่สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ เช่น น้ำตาลฟรักโทส วิตามินซี โปรตีนโกลบูลิน เป็นต้น และสร้างของเหลวมาผสมกับตัวอสุจิเพื่อให้เกิดสภาพที่เหมาะสมสำหรับตัวอสุจิ
6. ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) อยู่ตอนต้นของท่อปัสสาวะ ทำหน้าที่หลั่งสารที่มีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนๆ เข้าไปในท่อปัสสาวะเพื่อทำลายฤทธิ์กรดในท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดสภาพที่เหมาะสมกับตัวอสุจิ
7. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper Gland) อยู่ใต้ต่อมลูกหมากลงไปเป็นกระเปาะเล็กๆ ทำหน้าที่หลั่งสารไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
1. รังไข่ ( Ovary ) มีรูปร่างคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยาวประมาณ 2- 36 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 2- 3 กรัม และมี 2 อันอยู่บริเวณปีกมดลูกแต่ละข้างทำหน้าที่ ดังนี้
1.1. ) ผลิตไข่ (Ovum) ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง โดยปกติไข่จะสุกเดือนละ 1 ใบ จากรังไข่ แต่ละข้างสลับกันทุกเดือน และออกจากรังไข่ทุกรอบเดือนเรียกว่า การตกไข่ ตลอดช่วงชีวิตของ เพศหญิงปกติจะมีการผลิตไข่ประมาณ 400 ใบ คือ เมตั้งแต่อายุ 12 ปี ถึง 50 ปี จึงหยุดผลิต เซลล์ไข่จะมีอายุอยู่ได้นานประมาร 24 ชั่วโมง
1.2 ) สร้างฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่
• อีสโทรเจน (Estrogen) เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับมดลูก ช่องคลอด ต่อมน้ำนม และควบคุมการเกิดลักษณะต่างๆ ของเพศหญิง เช่น เสียงแหลมเล็ก ตะโพกผาย หน้าอก และ อวัยวะเพศขยายใหญ่ขึ้น เป็นต้น• โพรเจสเทอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนที่ทำงานร่วมกับอีสโทรเจนในการควบคุมเกี่ยวกับ การเจิญของมดลูก การเปลี่ยนแปลงเยื่อบุมดลูกเพื่อเตรียมรับไข่ที่ผสมแล้ว
2. ท่อนำไข่ หรือปีกมดลูก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูก โดยมีปลาย ข้างหนึ่งเปิดอยู่ใกล้กับรังไข่เรียกว่า ปากแตร ซึ่งทำหน้าที่โบกพัดให้ไข่ ที่ตกมาจากรังไข่เข้าไปใน ท่อนำไข่ ท่อนำไข่เป็นบริเวณที่อสุจิจะเข้าปฏิสนธิกับไข่ 3. มดลูก ทำหน้าที่เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว และเป็นที่เจริญเติบโตของทารกในครรภ์4. ช่องคลอด ทำหน้าที่เป็นทางผ่านออกของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก เป็นทางผ่านออกของทารก เมื่อครบกำหนดคลอด และเป็นทางที่ประจำเดือนออกมาด้

ประชาธิปไตย (อังกฤษ: democracy) คือ ระบอบการปกครองของรัฐ ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนโดยตรงหรือผ่านผู้แทนที่ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ หรืออาจถือตามคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น ที่ว่า ประชาธิปไตยเป็น การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน นับเป็นรูปแบบการปกครองที่เกิดขึ้น ณ นครรัฐกรีกโบราณในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรุงเอเธนส์ภายหลังการก่อจลาจลเมื่อ 508 ปีก่อนคริสตกาล[1]

ในทฤษฎีทางการเมือง คำว่า “ประชาธิปไตย” สามารถหมายถึงทั้งระบอบการปกครองและปรัชญาการเมือง ซึ่งถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ ประชาธิปไตยจะยังไม่มีการนิยามที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันก็ตาม[2] แต่ก็ได้ปรากฏให้เห็นหลักการสองหลักการที่ให้การนิยามคำว่า “ประชาธิปไตย” แล้ว คือ ความเสมอภาคและอิสรภาพ[3][4][5] หลักการดังกล่าวถูกสะท้อนให้เห็นผ่านทางความเสมอภาคทางกฎหมายของพลเมืองทุกคน และมีสิทธิเข้าถึงอำนาจโดยเท่าเทียมกัน ส่วนอิสรภาพได้มาจากสิทธิและเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองเสมอกันโดยรัฐธรรมนูญ[4][5]

ถึงแม้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะมีจุดเริ่มต้นจากกรีซโบราณก็ตาม[6][7] ทว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้มีวิวัฒนาการสำคัญ ๆ ในวัฒนธรรมต่างชาติ อาทิ ในอินเดียโบราณ[8] สาธารณรัฐโรมัน[6] ทวีปยุโรป[6] ทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้[9] มาจนถึงปัจจุบัน

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมักจะได้รับการพิจารณาโดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการมอบสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชนได้มากกว่าการปกครองในระบอบอื่น ทำให้ระบอบประชาธิปไตยได้ชื่อว่าเป็น “การปกครองระบอบสุดท้าย” และได้แผ่ขยายไปทั่วโลก[10] พร้อม ๆ กับมโนทัศน์เรื่องการออกเสียงเลือกตั้ง (อังกฤษ: suffrage) อย่างไรก็ดี แม้การดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแม้จะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการอันเกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างเช่น ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน การอพยพเข้าเมือง และการกีดกันกลุ่มประชากรบางชาติพันธุ์ เป็นต้น[11]

องค์การสหประชาชาติได้ประกาศกำหนดให้วันที่ 15 กันยายน ของทุกปี เป็นวันประชาธิปไตยสากล[12]

การเป็นพยานในศาล
เมื่อคุุณอยู่ในเหตุการณ์ในคดีหนึ่ง หรือ อาจไม่อยู่ในเหตุการณ์
แต่มีผู้อ้างคุณเป็นพยาน
คุณจะต้องไปเป็นพยานในศาลตามข้อบังคับของกฏหมาย
กฏหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ควรจะรู้ไว้บ้างพยานบุคคลที่จะต้องไปสืบพยานในศาลมีอยู่ 2 กรณีด้วยกันคือ

1.พยานที่คู่ความนำไปเอง หรือ ที่เรียกว่า  “พยาน”
2.พยานที่ศาลมีหมายเรียกไป หรือ เรียกว่า “พยานหมาย

พยานทั้งสองกรณีต้องปฏิบัติดังนี้คือ

1.  ตรวจหมายเสียก่อน 

เมื่อได้รับหมายเรียกให้เป็นพยาน ต้องตรวจดูในหมายนั้น
เป็นหมายของศาลอะไร  อยู่ที่ไหน  ต้องตรวจดูว่าให้พยานไปเบิกความในวัีน เดือน ปีอะไร
ปกติศาลจะนัดเวลา 09.00 น. หรือ 13.30 น.

2. ไปศาลตามวันเวลานัด

2.1  พยานได้รับหมายศาลแล้ว  มีความจำเป็นไม่อาจไปศาลได้
การขัดขืนไม่ไปศาลอาจถูกศาลออกหมายจับไปกักขังไว้จนกว่าจะเบิกความต่อศาล
นอกจากนั้นยังเป็นความผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญาอีกด้วย  พยานควรไปถึงศาลให้ตรงตามนัด
หากไปไม่ตรงเวลาศาลอาจเลื่อนการสืบพยานและอาจต้องไปศาลใหม่

2.2  เมื่อไปถึงศาลแล้ว  ควรนำหมายเรียกนั้นไปสอบถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
หรือตรวจดูจากบัญชีนัดความที่ศาลติดประกาศไว้หน้าอาคารศาลว่า
คดีที่จะต้องเบิกความเป็นพยานนั้น ศาลจะออกพิจารณาที่ห้องพิจารณาเลขที่เท่าไร
แล้วไปรอที่ห้องพิจารณานั้น เพื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหรือ
เจ้าหน้าที่ศาลจะได้ทราบว่า พยานได้มาแล้ว

2.3  พยานคนใดจะเบิกความก่อนหลัง สุดแล้วแต่ศาลหรือคู่ความฝ่ายอ้าง
พยานที่ยังไม่ได้เบิกความจะต้องรอนอกห้องพิจารณาหรือที่ห้องพักพยาน

3.  การปฏิญาณ

หรือสาบานตนก่อนเบิกความพยานจะต้องปฏิญาณหรือสาบานตนตามลักธิศาสนา  เว้นแต่

3.1  บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี หรือหย่อนความรู้สึกผิดชอบ

3.2  ภิกษุสามเณรในพุทธศาสนา

3.3  บุคคลที่คู่ความตกลงกันว่า  ไม่ต้องปฏิญาณหรือสาบาน  สำหรับพระภิกษุสามเณรนั้น
จะไม่ไปศาล หรือไปแล้วไม่เบิกความเลยก็ได้  ส่วนพยานอื่นหากขัดขืนคำสั่งศาลที่ให้ปฏิญาน
หรือให้เบิกความ มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา

4.  การถามพยาน

เมืื่อปฏิญานหรือสาบานแล้วพยานจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับ
ชื่อ อายุ ที่อยู่ และความเกี่ยวพัน
ระหว่างพยานและคู่ความ  จากนั้นคู่ความหรือทนายความฝ่ายที่อ้างพยานมา
ศาลจะถามเรื่องราวจากพยาน เมื่อฝ่ายที่อ้างถามพยานเสร็จแล้ว
คู่ความหรือทนายความอีกฝ่ายอาจจะถามค้านพยาน
อีกครั้งหนึ่ง  กฏหมายห้ามมิให้ถามพยานด้วยคำถามที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี
หรือคำถามที่อาจทำให้พยานหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง หรือ บุคคลภายนอกต้องรับโทษทางอาญา
หรือเป็นคำถามที่เป็นการหมิ่นประมาทพยาน  หากมีคำถามเช่นว่านี้ศาลจะเตือน
ให้พยานรู้ตัวก่อนหรืออาจห้ามใช้คำถามเช่นนั้น

5.  การเบิกความ

การเบิกความ  ศาลอาจจะให้พยานเบิกความโดยวิธีเล่าเรื่องตามที่ตนได้รู้ได้เห็น
หรือได้ยินมาโดยตรงเท่านั้นและจะต้่องเบิกความด้วยวาจา
ห้ามอ่านข้อความหรือจดหรือเขียนมา
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลหรือพยานผู้เชี่ยวชาญ

6.  เลื่อนการสืบพยาน

ในกรณีที่มีการเลื่อนสืบพยานไป  ศาลอาจสั่งให้พยานลงชื่อรับทราบวันนัดครั้งต่อไปไว้
กรณีเช่นนี้ต้องบันทึกจดจำไว้ให้ดี  เพราะศาลจะไม่ออกหมายเรียกไปอีก
และจะถือเสมือนว่าพยานได้รับหมายเรียกในนัดต่อไปแล้ว

7.  ค่าพาหนะและค่าป่วยการพยาน

ในคดีแพ่งพยานที่มาศาลตามหมายเรียก  ศาลจะกำหนดค่าป่วยการพยาน
ตามรายได้และฐานะของพยานแต่ไม่เกินวันละ 150 บาท กับค่าพาหนะเดินทางและค่าเช่า
ที่พักของพยานที่เสียไปด้วยตามสมควร
ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  ศาลมีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียสค่าพาหนะ
แก่พยานโจทก์ตามที่ได้เสียไปจริงไม่เกินสมควร  ในคดีอาญาที่ราฏร์เป็นโจทก์
โจทก์จะต้องเสียค่าพาหนะให้แก่พยานโจทก์เท่าที่เสียไปจริงตามสมควร

ความผิดอาญา

การขัดหมายเรียกของศาลไม่ไปให้ถ้อยคำหรือเบิกความเป็นพยาน
มีความผิดตามประมวลกฏมายอาญามาตรา 170ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

การเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล  ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี
มีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 177 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เป็นไงครับได้ความรู้พอสมควรสำหรับการเป็นพยานศาล
อ้อ..ขอเสริมอีกสักนิดน๊ะครับ กรณีตาม
ข้่อ 2.1 นั้นหากว่าท่านไม่พร้อมที่จะไปเป็นพยาน อาจเจ็บป่วย
หรือ อาจมีธุรกิจสำคัญจำเป็นต้องเลือนการเป็นพยานออกไปจากกำหนดกรณีนี้
ถ้าหากท่านเป็นพยานฝ่ายจำเลย ท่านต้องทำบันทึก
แจ้งให้ญาติของจำเลยหรือทนายฝ่ายจำเลยทราบล่วงหน้าแต่หากท่าน
เป็นพยานฝ่ายโจทก์ หรือที่อัยการเป็นโจทก์ (ที่พนักงานสอบสวนตำรวจมาสอบท่านเป็นพยาน)
ท่านจะต้องแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบพร้อมทั้งทำบันทึกเหตุขัดข้อง
เพื่อว่าตำรวจจะได้นำไปให้อัยการขอเลือนการสืบพยานออกไป

พยานบางท่านอาจได้รับหมายเรียกจากศาลให้เป็นพยานหลังจาก
คดีล่วงเลยมาเป็นปี ๆ แล้ว อีกทั้งตำรวจคนสอบสวนก็ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว
กรณีเช่้นนี้ท่านจะไปดูคำให้การของท่านจากกากสำนวนของตำรวจก็ไม่ได้
ท่านจะต้องไปพบอัยการที่สำนักงานอัยการก่อนเวลา
สอบถามเจ้าหน้าที่ประจำสำนักอัยการว่า ใครเป็นเจ้าของ
สำนวนตามหมายเรียกของศาลให้เรามาเป็นพยานศาลในวันนี้ เจ้าหน้าที่
ก็จะเปิดรายการและแนะนำให้เราไปพบอัยการผู้นั้นเพื่ออ่านคำให้การของเราเพื่อให้
จำได้ก่อนที่จะเข้าห้องพิจารณาคดี  หรือหากเป็นกรณี ขอเลือนตาม
ข้อ 2.1 ก็ให้ไปพบก่อนล่วงหน้าสักวันสองวันเพื่อทำบันทึกให้อัยการ
ไปแถลงต่อศาลขอเลือนการเป็นพยานศาลของเรา

รายละเอียด :

ไม่อยากเชื่อเลยว่าในหัวผู้ชาย (บางคน) เนี่ยวันๆ คิดแต่เรื่องหาทางเอาเปรียบผู้หญิง เฮอะ เซ็งชะมัด ทำไมฉันต้องมาเจอคนประเภทนี้ด้วยนะ ดูสิเนี่ย อกหักโดยไม่ตั้งใจเฉยเลย T^T แต่จะว่าไป ‘เรื่องนั้น’ มันก็ไม่ใช่ความผิดฉันนะ เพราะ ‘เจนีน’ คนนี้มีสิทธิ์ที่จะรักนวลสงวนตัวนี่นา อย่าคิดว่าฉันเป็นลูกเสี้ยวหุ่นเซ็กซี่แล้วจะใจง่ายสิ ฉันน่ะหัวโบราณของแท้ดั้งเดิมเลยนะยะ *O*แต่สวยเริดเชิดหยิ่งอย่างฉันมีหรือจะยอมช้ำรักนาน ดังนั้นบินไปอเมริกากับยัยทัดดาวเพื่อนรักดีกว่า แอบหวังว่าการเข้าร่วมโครงการ Work and Travel นี่จะช่วยให้ฉันลืมเรื่องร้ายๆ ที่เมืองไทยได้น่ะ (–“)

แล้วคุณรู้อะไรมั้ย พอเท้าเหยียบต่างแดนปุ๊บ ฉันก็มีอันต้องเล่นเกมจ้องตากับผู้ชายอเมริกันซะแล้ว แถมเขายังดูคุ้นๆ เหมือนฉันเคยเจอในฝันด้วยอ่ะ โอ้ว~ดูท่าว่าการมาหาประสบการณ์ครั้งนี้จะทำให้ฉันได้เรียนรู้ทั้งเรื่องงานและเรื่องหัวใจเลยสินะ >///<

ตารางอัพเอตของพี่เม >.<

 

 ตารางอัพเดตงานเขียน

  โปรเจคเดือนมีนา = 60p.

 Wine’s Love (ไวน์)
ตกลงว่าแต่งจ้า แต่รอหน่อยน่า 

 Dovey Sister (กุ๊กไก่)
เซ็ทเล็กๆ แต่คนถามถึงตลอดเว!
รอสักกะนิดนะจ้า อยู่ในคิวปั่นแล้วล่ะ

Welcome to WordPress.com. After you read this, you should delete and write your own post, with a new title above. Or hit Add New on the left (of the admin dashboard) to start a fresh post.

Here are some suggestions for your first post.

  1. You can find new ideas for what to blog about by reading the Daily Post.
  2. Add PressThis to your browser. It creates a new blog post for you about any interesting  page you read on the web.
  3. Make some changes to this page, and then hit preview on the right. You can always preview any post or edit it before you share it to the world.